เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรมๆ ทุกสิ่งมีชีวิตแสวงหา อยากมีอิสรภาพ อยากมีภราดรภาพ อยากมีความเสมอภาค ความเสมอภาค ยังเสมอเขา ยังอยู่กับเขานะ แต่ถ้าเป็นอิสระล่ะ ถ้าเป็นอิสระ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด
เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้ทำคุณงามความดีๆ แล้วเราก็ไม่เข้าใจว่าคุณงามความดีอย่างไร มันต้องเอาโลกเข้ามาเปรียบเทียบไง เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ท่านบอกอย่าพูดเรื่องโลกๆ ให้พูดเรื่องธรรมะ อย่าพูดเรื่องโลก
ไอ้เราก็ห้ามพูดเรื่องโลก แล้วไม่พูดเรื่องโลก มันจะพูดเรื่องสิ่งใด โลกกับธรรม โลกกับธรรมมันอยู่อันเดียวกัน แต่ใครมองเป็นโลกและมองเป็นธรรม
เวลาเราเกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องไปโรงพยาบาลไปหาหมอนะ หมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้เราหาย ถ้ารักษาไม่หาย เขาก็รักษาตามอาการ เวลารักษาไม่หาย เห็นไหม หัวใจวายเฉียบพลัน ตายฟรี ตายหมด เวลาเขารักษาไม่ได้ เขาก็ลงเลย บันทึกเลย หัวใจวายเฉียบพลัน ไม่รับผิดชอบอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ เวลาขาดตกบกพร่องขึ้นมา ฟ้องศาลได้นะ ความขาดตกบกพร่องของเขา เราเรียกค่าเสียหายได้ แต่ถ้าหัวใจวายเฉียบพลัน นี่ไง เวลาไปโรงพยาบาลก็ยังต้องให้โรคเราหายๆ ไปหาหมอ ต้องการให้รักษาให้หาย นั่นสุขภาพกาย
สุขภาพจิต เวลาเราเกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เป็นเด็กน้อยมันก็เป็นความไร้เดียงสา วุฒิภาวะของเขา พ่อแม่ก็เลี้ยงดูอุ้มชูกันมา อุ้มชูกันมา เวลาโตขึ้นมา คนเราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน ไม่มีหน้าที่การงานจะเอาอะไรเลี้ยงชีพ ความเลี้ยงชีพๆ ขึ้นมา สิ่งที่ว่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พอโตขึ้นมามีความขัดแย้ง มีการส่งเสริม มีการดูแลกันมาตลอดเวลา เวลามีความฟุ้งซ่าน มีความเครียดในหัวใจ สิ่งนี้จะไปรักษากันที่ไหน
เวลาพ่อแม่ พ่อแม่ก็ฟูมฟักๆ รักด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ รักของพ่อของแม่ พ่อแม่รักลูกด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ รักลูกด้วยเจตนาที่ดี นี่ความรักของโลก ความรักของโลกมันรักลวงไง มันมีเล่ห์มีกล มีแง่มีงอนของมัน นี่เรื่องของโลกๆ ไง
แต่ถ้าเรื่องของสัจธรรมล่ะ เราไปวัดไปวากัน ไปวัดไปวาเพื่อเหตุนี้ ไปวัดไปวา ธรรมโอสถๆ ไง รักษาหัวใจของเราให้หาย รักษาหัวใจให้เราดีขึ้น ถ้าคนที่รักษาหัวใจหายเด็ดขาด พระอรหันต์ เวลาพระอรหันต์แล้วจบสิ้นกระบวนการนะ รู้เท่าทันมันหมดเลย กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลก
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติอยู่ ไปวัดไปวาให้กิเลสมันเหยียบย่ำ ให้กิเลสมันหลอก เพราะกิเลสมันหลอกเราไง นู่นก็ดี นี่ก็ดี นั่นก็สุดยอดไง เพราะกิเลสมันหลอกเรา เพราะเราไม่รู้เท่าทันกิเลสในใจของเราไง เราก็มองข้างนอกไม่ออกไง ไอ้กิเลสมันก็หลอกเราชั้นหนึ่งแล้วใช่ไหม ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็มาหลอกเราอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม
มันมีวัดหลายวัดเมื่อก่อน ลูกศิษย์เขาไปกันมา เขามาเล่าให้ฟัง อยากเป็นพระโสดาบัน เอ็งมีสมบัติมากน้อยแค่ใด โอนมาเข้าเป็นสาธารณะ เอ็งจะได้เป็นโสดาบัน
นี่ไง เขาก็เชื่อกันนะ แล้วคนเชื่อไม่ใช่คนธรรมดานะ เป็นเศรษฐีประเทศไทยไปเชื่อกันน่ะ แต่เขาโอนส่วนหนึ่ง เขาไม่โอนทั้งหมดไง เพราะอะไร เพราะเขาไปตีความไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้ามันยังยึดติดในทรัพย์ของตัวจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ก็โอนทรัพย์สินให้เขาแล้วจะเป็นพระโสดาบัน มันก็เชื่อนะ
ถ้าอย่างนั้นเราก็บริจาคกัน ทางโลก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีงามนะ เพื่อโลก บริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ บริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่ อย่างนี้เป็นพระโสดาบันหรือไม่ นี่เราบริจาคร่างกายเราเลยนะ ถ้าบอกว่า ถ้าพูดถึงทรัพย์สมบัติเป็นของเรา เราเสียสละเป็นอิสระไปแล้ว เสียสละไปจะเป็นพระโสดาบัน แล้วเราสละร่างกายเลย ไปลงทะเบียนเลย
เห็นไหม กิเลสมันหลอกเรา กิเลส เราไม่รู้เท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เพราะมันหลอกเรา แล้วเราไม่รู้ เราก็ไปโดนคนอื่นหลอกอีก
เวลาเรารักษาหัวใจของเรา เวลามันหายขาดไปแล้วนะ กิเลสมันหลอกเราไม่ได้ กิเลสมันหลอกเราไม่ได้ แล้วใครมันจะหลอกเราได้ กิเลสมันหลอกเราไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราเห็นมันไง เรารู้ เราเท่าทันมันหมด เรารู้เท่าทัน อวิชชาคือความไม่รู้ในหัวใจของเรา ถ้าเราจะรู้ในหัวใจของเรา จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วมันเห็นกิเลสอย่างไร เวลาเห็นกิเลสอย่างไร กิเลส ตัวมันปลิ้นปล้อนอย่างไร
ดูสิ คนภาวนา เริ่มต้นทำความสงบของใจ เวลามันพุทโธดีๆ มันก็มีความชุ่มชื่น เวลาพุทโธมันแตกมันแยก เวลาพุทโธมันแฉลบ เวลาพุทโธไม่ได้ มันมีความตึงเครียดทั้งนั้นน่ะ จิตยังไม่เคยสงบเลย เวลาจิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วถ้ามันยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้มันก็เหลวไหล เวลาสงบแล้ว เดี๋ยวมันเจริญแล้วก็เสื่อม เวลาเสื่อมแล้วมันก็ทุกข์ก็ยากขึ้นมา กว่ามันจะทำให้มันมั่นคงได้ เห็นไหม
จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เราพิจารณามันด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา มันรู้มันเห็นของมัน
เวลามันเกิดตทังคปหาน ประหารโดยชั่วคราว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ในตำราเยอะแยะไปหมด ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน
เวลาคนเจ้าเล่ห์มันบอกว่า ทำไมต้องสมุจเฉทปหานด้วยล่ะ ตทังคปหานก็ได้
เหมือนกับการซื้อสินค้าเลย มันจะต่อรอง ต่อรองราคาไง ร้อยหนึ่ง ต่อห้าสิบ ห้าบาท ต่อสองบาท มันจะต่อราคาไง นี่มันเป็นการต่อรองทางธุรกิจ แต่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่ใช่การต่อรอง มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง ความจริงต้องเสมอ ความจริงมันถึงเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าใจเราไม่จริงขึ้นมา เราทำความจริงขึ้นมาได้อย่างไร
จิตคนเร่รอน จิตคนเหลวไหล จะไปเอาความจริงมาจากไหน ถ้าจิตคนเร่ร่อน ใครคบเพื่อนเขาอย่างไร นิสัยเพื่อนเขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นคนอย่างนั้น ถ้าเพื่อนเขาเป็นนักปราชญ์ เขาก็เป็นนักปราชญ์ไปด้วย เพราะเขาคุยกันแต่เรื่องนักปราชญ์ เขาคุยกันเรื่องสมาธิเรื่องปัญญา ถ้าเขาเป็นคนฉ้อฉล เขาคุยกันเรื่องฉ้อฉล ถ้าเขาเป็นคนขี้โกง เขาก็คุยกันเรื่องขี้โกง นี่ก็เหมือนกัน เอ็งคบเพื่อนสิ่งใดก็ได้นิสัยอย่างนั้น ไอ้นี่คบนิสัยต่อรอง เวลาตทังคปหาน ชั่วคราวๆ
ชั่วคราวก็มันไม่จริง ธรรมะก็บอกไว้ชัดๆ การประหารกิเลสความชั่วคราว ความสงบระงับโดยการชั่วคราว ไอ้เรามันไม่สงบระงับ เราก็ทุกข์เกือบเป็นเกือบตาย เวลามันทุกข์ขึ้นมาแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญาไปแล้วมันของชั่วครั้งชั่วคราว คำว่า “ชั่วครั้วชั่วคราว” เดี๋ยวมันก็เสื่อม มันจะอยู่คงที่ไม่ได้หรอก แล้วสิ่งที่เป็นจริง เป็นจริงไปไหน ถ้าเป็นจริงไปไหน มันต้องสมุจเฉทปหาน การที่สมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานอย่างใด
สมุจเฉทปหาน กิเลสมันตายไป ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ ยถาภูตังคือกิเลสมันตายแล้วนะ ยังเห็นการตายของมันนะ ยังชัดเจนขนาดนั้นนะ ถ้ามันชัดเจนขนาดนั้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
เวลาอรหัตตมรรค อรหัตตผลยังไม่ใช่นิพพาน เวลานิพพานไปแล้ว นี่ไง เวลาไปโรงพยาบาลรักษาโรคหายแล้วมันก็สบายใจ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามาวัดมาวา เรามีธรรมโอสถ เรามาฝึกหัดปฏิบัติของเรา ถ้าถึงที่สุดแล้วกิเลสมันตาย ปู่ย่าตายายตายหมดเลย ตายหมดทั้งโคตร โคตรภูมิ โคตรมันตาย อะไรจะมาหลอก
เพราะเราเป็นคนประพฤติปฏิบัติ ชาวไร่ชาวนาเขาทำไร่ทำนา เขาก็มีเทคโนโลยีของเขา เขาชำนาญการของเขานะ เขาคาดเขาหมายว่าฝนฟ้ามันจะมาตอนไหน เขาจะไถจะหว่านตอนไหน ไถหว่านแล้วเขาจะดูแลรักษารวงข้าวของเขา ดูแลไร่นาของเขาให้สมประโยชน์ของเขา เขาทำแล้วฤดูกาลมันเลวร้าย ฤดูกาลมันแห้งแล้ง น้ำท่วมน้ำหลาก เขาได้เผชิญวิกฤติมาตลอด ถึงเวลาโรคระบาดระบาดมา เขาจะแก้ไขอย่างไร เขาได้ผ่านวิกฤติของเขามา เขามีความชำนาญของเขามา เขาทำของเขามา
ชาวนาเขาเก่งของเขานะ แต่มันเป็นเรื่องธุรกิจ เรื่องของโลก มันเรื่องผลประโยชน์ตอบแทน ในเมื่อผลประโยชน์ตอบแทนมันตอบแทนไม่คุ้มค่า มันตอบแทนแล้ว ลงทุนลงแรงแล้วมันไม่สมกับแรงงานของเขา เขาก็เลิกรากันไป เขาก็ทำแล้วเขาก็วางมือของเขา แต่ความจริง ความรู้ของเขาก็อยู่ในตัวเขา ชาวไร่ชาวนาเขาก็มีความชำนาญในการทำไร่ทำนาของเขา
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้าเป็นสัจจะความจริง เขามีการกระทำของเขา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เขาเก็บหอมรอมริบ เขาเตาะแตะขึ้นมาจนกว่ามันตั้งมั่นได้ ความตั้งมั่นได้ แล้วความเหลวแหลก ความเสื่อมสภาพของไป ความตั้งมั่นได้แล้วฟื้นฟูมันกลับมา เวลากลับมาแล้วพยายามติดต่อ เห็นไหม เราได้ข้าวแล้วเราเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ทำคราวหน้า ที่เหลือก็เอาไว้กินในครอบครัว ที่เหลือก็ขายเป็นสินค้า
นี่ก็เหมือนกัน ในการวิปัสสนา ในการใช้ปัญญาของเรา ถ้ามันดีขึ้นเลวลงอย่างไร มันกระทำของมัน เวลามันดีขึ้น ปีนี้สิ่งใดอุดมสมบูรณ์ไปหมด ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เศรษฐกิจดีมาก มีความสุขความเจริญ นี่ไง เวลามันเจริญ เห็นไหม เวลามันเสื่อม มันเลวร้ายไปทั้งหมด นี่มันรู้มันเห็นของมัน มันมีการกระทำของมัน แล้วมันฟื้นฟูของมัน ทำมาจนเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา
เพราะมันทำอย่างนี้มันสงสัยไหม กิเลสมันหลอกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะต่อสู้กับมัน รู้เท่าทันกิเลสของตน แล้วจับมันขึงพืด จับมันพิจารณาของมันด้วยภาวนามยปัญญา สมาธิจับไว้ ตัดด้วยปัญญา
ไม่มีสมาธิ ไปจับอะไรมันไว้เลย เหลวไหลเลย ไปตู่เอาว่านานั้นก็เป็นของฉัน นานี้ก็เป็นของฉัน ข้าวนั่นก็ของฉัน...ของเอ็งหรือ ไปเอาของเขาสิ เดี๋ยวเขาแจ้งตำราจจับเอา
นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วก็เที่ยวตู่ไปเรื่อย มันจะเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้อย่างไรถ้าคนไม่เคยเห็นมัน คนไม่เคยเห็นกิเลส คนไม่เคยภาวนา มันจะไปจับต้องอย่างใด ไม่ใช่สมบัติของตนสักชิ้นนึง
ถ้าเป็นสมบัติของตนนะ ศีลก็เป็นศีลของตน สมาธิก็เป็นสมาธิของตน เวลาเป็นปัญญาขึ้นมา ปัญญาของเรา เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นแนวทาง เป็นที่เราต้องเคารพนับถือ เราต้องประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
พอมันเป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็เป็นศีลจริงๆ สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ เวลาเกิดปัญญาก็ปัญญาของเรา ไม่ใช่ปัญญาจำมา ไม่ใช่ปัญญาเป็นจินตมยปัญญา
ปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วจะเกิดความมหัศจรรย์ อู้ฮู! เอ็งก็เก่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าเอ็งก็เก่งได้ขนาดนี้ เดี๋ยวก็เสื่อม เพราะว่าเอ็งปั๊บ มันส่งออกไปแล้ว ไม่มีตัวไม่มีตน เราต้องชัดเจนของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา เพราะมันล้มลุกคลุกคลานมาไง เวลาโรคระบาดมาทีไร มันจะนาเขานาเราติดกัน เดี๋ยวมันระบาดมาแน่นอน ถ้ามันนาเขานาเรามันติดกัน โรคระบาดมันมา เราจะป้องกันอย่างไร เวลามันเจริญ มันเจริญอย่างไร มันจะเสื่อม เสื่อมอย่างไร
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกัน ไม่ให้โม้ เวลาประพฤติปฏิบัติแล้วรู้สิ่งใด เก็บไว้ในใจ เวลาเราจะปรึกษาก็ปรึกษาครูบาอาจารย์เท่านั้น เวลาตรวจสอบไง มันตรวจสอบได้ ของมันจับต้องได้ ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นจริง เวลาจิต ความทุกข์ความยาก ให้หันหน้าเข้าหากัน มันระบายความทุกข์ได้ทั้งปีทั้งชาติเลย เวลามันระบายความสุข มันไม่ยอมบอกใครนะ มันซ่อนไว้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างไร ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นอยู่แล้วท่านรู้ของท่านนะ ท่านรู้ของท่านเพราะอะไร เพราะท่านต้องผ่านสิ่งนั้นมาไง ถ้าไม่รู้ไม่เห็นกิเลส จะฆ่ากิเลสได้อย่างไร
ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ากิเลสมันหลอกๆ ถ้ากิเลสมันหลอกก็หลอกคนนั้น ถ้าคนนั้นเท่าทันกิเลส แล้วชำระล้างด้วยภาวนามยปัญญาในใจของตน กิเลสมันจะหลอกได้อย่างไร มันหลอกหัวใจดวงนั้นไม่ได้ มันถึงเป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่มันหลอกในหัวใจของเราได้ไง มันสร้างภาพ มันเหมือน ดีกว่าเลย
ในโลกนี้ของเทียม เวลาไปซื้อนะ สวยกว่าของจริงอีก ของจริงเขรอะเลย ดูแล้วไม่น่าใช้เลย โอ้โฮ! ของเทียม ของปลอม โอ้โฮ! แวววาวๆ แต่ใช้ไม่ได้ผล เอามาเจ๊งหมด ของเทียม
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า เราเก่งกว่า เราแน่กว่า
มันสังเวชนะ เวลาคนอวดเนื้ออวดตัว อวดเก่งอวดดี เพราะอะไร เพราะพระไตรปิฎก ธรรมและวินัยมันจดจารึกมา ๒,๐๐๐ กว่าปี เอ็งจะแฉลบอย่างไรก็ได้ เอ็งจะเอามาพลิกแพลงอย่างไร อวดว่าเอ็งมีปัญญาก็ได้ แต่ถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งจะเอาปัญญาอะไรของเอ็งมา ปัญญาของเอ็งก็เป็นปัญญาวิทยาศาสตร์ไง ปัญญาการคิดค้นไตร่ตรองจากภายนอกไง ไม่รู้เห็นความเป็นจริงในใจของตนไง ถ้ามันไม่รู้เห็นในความเป็นจริงขึ้นมา โดนกิเลสหลอก เพราะกิเลสหลอกมันแล้ว กิเลสหลอกมันแล้วนะ พอกิเลสหลอกมาแล้วนะ ตัวมันเองโดนหลอกแล้ว มันก็เลยไปชี้เอาเลย อู้ฮู! มันดีกว่า ยอดกว่า...ส่งออกทั้งนั้น เพราะเอ็งรู้จักตัวเองหรือเปล่า เอ็งรู้จักตัวเองไหม
หลวงตานะ เวลาท่านสำเร็จ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมอยู่ในใจของตน รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว เพราะเราต้องคิดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือสัจธรรม คือธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็คือเรานี่แหละ พระสงฆ์ก็คือพระสงฆ์ปฏิบัติทั่วไป
เวลาพระสงฆ์ค้นคว้าหาใจของตนเจอ นี่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นสากลนะ สัมมาสมาธิก็เหมือนดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสากล เราก็รู้ได้ใช่ไหม แต่ดิน น้ำ ลม ไฟของเราล่ะ เรารู้เห็นหรือไม่
เวลามันเข้าไปถึงเป็นสัมมาสมาธิ พอเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันเข้าสู่ใจของตน นี่เข้าสู่ใจของตน เวลาประพฤติปฏิบัติ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมอยู่ขึ้นมาในใจของตน เวลาท่านสำเร็จของท่านนะ น้ำตาไหลพรากๆ น้ำตาชำระล้างภพล้างชาติ ไม่ใช่น้ำตาแบบเรา
น้ำตาแบบเรา น้ำตาแบบซาบซึ้ง น้ำตาแบบเรา น้ำตาแบบทุกข์ยาก น้ำตาแบบเรา น้ำตาสร้างภพสร้างชาติ น้ำตาความแค้น อยากมีความแค้น ต้องสนองความแค้น ตอบแทนความแค้น มันไม่ใช่น้ำตาอย่างนั้นนะ
แล้วเวลาท่านบอกกราบแล้วกราบเล่า กราบถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพุทธ ธรรม สงฆ์รวมอยู่ในใจของตน แล้วรวมอยู่ในใจของตนอย่างไร มันเป็นอย่างไรมันถึงรวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วมันหนึ่งเดียวมันหนึ่งเดียวตรงไหน มันไม่มีขอบมีเขตใช่ไหม
แต่นี่ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นของเรา เราก็อ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววิเคราะห์วิจารณ์ มันเป็นธรรมดา ทางวิชาการ ถ้าสิ่งใดที่เป็นแรงบันดาลใจ พอมีแรงบันดาลใจ โอ้โฮ! มันขยายความได้ร้อยแปดเลย แต่เอ็งชอบคนเดียวนะ เอ็งซาบซึ้งคนเดียว คนอื่นจะซาบซึ้งหรือไม่ก็ไม่ใช่ เพราะกิเลสมันคนละชนิดไง ความชอบไม่เหมือนกันไง ความชอบของเอ็ง ขณะเอ็งซาบซึ้งเอ็งก็ว่าดีมาก เดี๋ยวพอเอ็งคิดได้ใหม่ เอ๊อะ! อันนี้ดีกว่า อันนี้ดีกว่า นั่นเพราะกิเลสมันหลอก ถ้ากิเลสมันหลอกเรานะ เราก็โดนหลอกต่อไป เห็นไหม
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา จบสิ้นกระบวนการแล้วกิเลสหลอกเราไม่ได้ กิเลสหลอกไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรารู้เท่าทันหมดนะ แล้วจะไม่ให้คนอื่นหลอก ไม่ให้อาจารย์องค์ไหนหลอก อาจารย์องค์ไหนจะเป็นอาจารย์ก็สาธุ ขอให้เขามีความรู้จริงความเห็นจริง ให้มีสัจจะจริงในใจของเขา ถ้าในใจของเขาขึ้นมา เวลาแสดงธรรม เรารู้ได้หมด
นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูดอยู่นะ เวลาใครอวดดิบอวดดีนะ ท่านบอกว่า ผู้รู้มีอยู่นะ ผู้รู้คือผู้รู้แจ้งในใจมีอยู่ ผู้รู้แจ้งในใจเขาจะสงบระงับมาก ผู้รู้แจ้งในใจเขาเห็นคุณค่าในใจของเขามีคุณค่าที่สุด สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด สิ่งใดในโลกนี้ ๓ โลกธาตุ สิ่งใดไม่มีค่าเท่าเลย ถ้าไม่ค่าเท่าเลย ของที่มีค่ากว่า เขาไม่เอามาแลกกับเราหรอก ไอ้ของเราของไร้ค่า แต่เราคิดว่ามีค่า แล้วเราก็ว่าสิ่งนี้ เอาสิ่งนี้เพื่อไปอวดอ้างเขา ไอ้คนที่เขามีค่าในหัวใจเขามองข้ามหมด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ อสรพิษๆ ไง เงินเป็นอสรพิษ สิ่งที่เป็นอสรพิษนะ มันมีความจำเป็นต้องใช่จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยบัณฑิต ถ้าคนที่มีสติปัญญาเขามีของเขา มันจะเป็นประโยชน์กับโลก
แต่คนที่ไม่มีสติปัญญา นั่นอสรพิษมันกัด ดูสิ ลูกหลานของเรา เราไม่ให้เงินทองเขาใช้จ่ายจนฟุ่มเฟือยจนนิสัยเสีย นั่นไง แค่นี้ก็เป็นอสรพิษแล้ว ทำให้เขานิสัยเสีย ทำให้เขามักง่าย ทำให้เขาต่างๆ แต่ถ้าให้เขาเก็บหอมรอมริบ ให้เขาแสวงหาเอง ให้เขารู้จักคุณค่าของเงินเองขึ้นมา นี่ถ้าความจำเป็น ความจำเป็นของโลก
แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของมันเต็มหัวใจแล้ว อสรพิษทั้งนั้นน่ะ มันทำลายใครก็ได้ เวลาทางโลกบอกกันเลยนะ อย่ายกมือไหว้คนขี้โกงนะ เวลาคนรวยมา เห็นยกมือไหว้แป้ๆ เลย
อย่ายกมือไหว้มัน อย่ายกมือไหว้มัน เดินมา โอ้โฮ! ยังไม่ทันมา เราวิ่งไปไหว้มันก่อนเลย กลัวไหว้ทีหลังไง แต่ถ้าคำสอนเขาบอกว่าอย่าไปไหว้มันนะ อย่าไปไหว้มันนะ นี่อสรพิษ มันกัด มันกัดไปหมด
ถ้าเรามีสติปัญญาแล้ว ในใจของเรา ถ้ามันหลอกเราไม่ได้ มันจะหลอกเราไม่ได้ต่อเมื่อเรามีสติปัญญารู้เท่าทัน แล้วต้องประหารมันนะ มีสติปัญญารู้เท่าทัน สติปัญญาอ่อนลง เดี๋ยวมันกลับมากระทืบเราอีก กิเลสถ้ามันฟื้นมานะ มันกระทืบเรานะ เจ็บช้ำ ๒ ชั้น ๓ ชั้น
แต่ก่อนเราทำไมเอามึงอยู่ได้ แต่พอเราประมาท เราไม่รักษา เดี๋ยวมันกลับมากระทืบนะ ทั้งๆ ที่รู้ แต่สู้มันไม่ได้ แล้วน้ำตาไหล น้ำตาตกใน นี่เพราะอะไรล่ะ เพราะความประมาทของเราไง
แต่ถ้าเป็นจริงๆ เราพยายามทำของเรา เราพยายามทำของเรา วิ่งกีฬาแข่งขันให้มันจบ ให้มันจบเกมแล้วถึงหยุด ถ้าไม่จบเกม เราสู้ของเราไปๆ แต่นี่ไม่อย่างนั้น ขอพักก่อนๆ เดี๋ยวได้ไหม พรุ่งนี้ได้ไหมๆ ชาติหน้าได้ไหม แก่แล้วค่อยทำ มันผลัดไปเรื่อยแหละ กิเลสแค่นี้เอง ตายแล้ว กิเลสแค่นี้มันหลอก ตายแล้ว
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านกระตุ้นมาก เวลาหลวงตาท่านจะเผดียงพระตลอด งานของตนยังไม่เสร็จ ต้องรีบขวนขวาย งานของตนยังไม่เสร็จ ในหัวใจของตนยังมีกิเลสอยู่ หน้าที่ของเราต้องภาวนา งานของตนยังไม่เสร็จ อย่าแส่ออกไปยุ่งเรื่องงานของคนอื่น งานของตนยังไม่เสร็จ ท่านเน้นย้ำนะ แล้วท่านจี้ประจำ งานของตนยังไม่เสร็จ ต้องทำงานของตนให้เสร็จแล้ว แล้วจะเป็นประโยชน์กับโลก เห็นไหม ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
ประโยชน์ตนไม่มี ประโยชน์ตนเหลวไหล แล้วประโยชน์โลกมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ประโยชน์ตนมันไม่มี แต่ถ้าประโยชน์ตนมีนะ ประโยชน์โลกมันยังมี
สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพกายเจ็บป่วยไปหาหมอ สุขภาพจิตของเรา จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราพยายามศึกษาค้นคว้า เห็นคุณค่าหัวใจของคน สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราตายไปแล้วนะ สมบัติอยู่ที่นี่ จิตดวงนี้มันยังหมุนไปตามเวรตามกรรม แล้วทำไมเราไม่ดูแลมันล่ะ ทำไมไม่ดูแลตรงนี้ล่ะ ตรงนี้ต่างหากที่มีค่า
สมบัติ อำนาจวาสนากองไว้นี้ จิตเท่านั้น ความรู้สึกเท่านั้นมันจะไปตามเวรกรรมของสัตว์โลก กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
ฉะนั้น เวลาคนพูดเขาพูดไป มันไม่กลัวเวรกลัวกรรม ไม่กลัวภพกลัวชาติ เพราะมันอยู่ในชาติปัจจุบันนี้ไง นี่ไง กิเลสมันหลอกมัน กิเลสปิดตามัน เราอย่าไปเชื่อ เราพยายามศึกษาแล้วพิจารณา กาลามสูตร ค้นคว้าด้วยสติปัญญาของเรา จริงหรือเท็จ เอวัง